โคคา-โคลาฯเผยความคืบหน้าการเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจสตรีชาวไร่อ้อย
โครงการธุรกิจยั่งยืนกับโคคา-โคลาฯเผยความคืบหน้าการเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจสตรีชาวไร่อ้อย
เป็นไปตามแผน ตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรและตัวแทนเกษตรกรสตรีชาวไร่อ้อยที่เข้าร่วมโครงการฯ
กลุ่มธุรกิจโคคา-โคลา ในประเทศไทยกลุ่มน้ำตาลไทยรุ่งเรือง และสถาบันคีนันแห่งเอเซีย เดินหน้าติดตามความคืบหน้า“โครงการธุรกิจยั่งยืนกับโคคา-โคลาเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจเกษตรกรสตรีชาวไร่อ้อย”เผยจัดอบรมนำร่องเกษตรกรสตรีชาวไร่อ้อยในจังหวัดเพชรบูรณ์และอุทัยธานีไปแล้ว 625 คน จากการประเมินผลพบว่าชาวไร่เริ่มมีการนำทักษะและความรู้ที่ได้รับจากการอบรมไปใช้ในชีวิตประจำวันทั้งการประเมินสุขภาพทางการเงินและการควบคุมค่าใช้จ่ายตลอดจนการเตรียมตัวเริ่มต้นทำไร่อ้อยในฤดูกาลใหม่ซึ่งหน่วยงานพันธมิตรจะยังคงประสานความร่วมมือในการทำงานและประเมินผลร่วมกันอย่างต่อเนื่องไปจนสิ้นสุดระยะเวลานำร่องในเดือนกรกฎาคม 2560 นี้เตรียมขยายผลที่ได้มาพัฒนาโครงการในระยะต่อๆ ไป
นายนันทิวัต ธรรมหทัย ผู้อำนวยการองค์กรสัมพันธ์และการสื่อสาร บริษัทโคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “โคคา-โคลามีพันธกิจในการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบซึ่งครอบคลุมการจัดหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืนเพื่อนำมาผลิตเครื่องดื่มตามมาตรฐานระดับโลก โดยเราซื้อน้ำตาลจำนวนมากจากผู้ผลิตในประเทศไทย
ในขณะเดียวกัน โคคา-โคลาก็มุ่งพัฒนาศักยภาพของผู้หญิงที่ทำงานเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจของเราตามโครงการ 5by20ที่มุ่งเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจให้กับผู้หญิงที่อยู่ในแวลูเชนของโคคา-โคลา 5ล้านคน ภายในปี 2020ซึ่งพันธกิจทั้งสองนี้เป็นที่มาของโครงการธุรกิจยั่งยืนกับโคคา-โคลาที่นำร่องกับเกษตรกรสตรีชาวไร่อ้อยในเครือข่ายของกลุ่มน้ำตาลไทยรุ่งเรืองในปัจจุบัน”
“กลุ่มน้ำตาลไทยรุ่งเรืองส่งเสริมการทำเกษตรที่ยั่งยืนมีฝ่ายปฏิบัติงานไร่อ้อยที่เข้มแข็งและทำงานใกล้ชิดกับชาวไร่อยู่แล้วจึงช่วยรับผิดชอบงานด้านฝึกอบรมการเกษตรที่ยั่งยืนและเข้าฝึกอบรมการบริหารการเงินส่วนบุคคลจากสถาบันคีนันแห่งเอเซียเพื่อเป็นวิทยากรร่วมส่วนคีนันได้เข้ามาสำรวจพื้นที่และพูดคุยกับชาวไร่ตั้งแต่ก่อนเริ่มโครงการเพื่อพัฒนาหลักสูตรการบริหารการเงินส่วนบุคคลที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและชีวิตความเป็นอยู่ของสตรีชาวไร่อ้อยในพื้นที่สำหรับผลการดำเนินการที่ผ่านมานั้นเกษตรกรสตรีชาวไร่อ้อยเข้าร่วมโครงการถึง 625 คน เกินกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 600 คนและเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเชิงบวก อย่างไรก็ตามโครงการนำร่องนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเพราะการสร้างทัศนคติที่ถูกต้องและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างยั่งยืนต้องใช้เวลาและการทำงานร่วมอย่างต่อเนื่อง” นายนันทิวัตกล่าว
นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานอำนวยการและรองประธานกรรมการสถาบันคีนันแห่งเอเซีย กล่าวว่า“คีนันมุ่งสร้างเครือข่ายพันธมิตรเพื่อร่วมกันพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจโดยก่อนเริ่มโครงการ ได้ลงพื้นที่รับฟังปัญหาของเกษตรกรแล้วนำข้อมูลมาพัฒนาหลักสูตรที่ตอบโจทย์ ใน 5 หัวข้อ คือ
1.การตั้งเป้าหมายชีวิตและเป้าหมายทางการเงิน2.การใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพและการทำบัญชีครัวเรือน3.การบริหารจัดการหนี้ 4.การออม และ5.การลงทุนและทักษะการเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งเน้นการมีส่วนร่วมของผู้เข้าอบรมเข้าใจง่าย และสามารถนำความรู้ไปใช้ได้ทันที
จากการดำเนินโครงการช่วงที่ผ่านมาเกษตรกรสตรีมีความรู้ด้านการจัดการการเงินเพิ่มขึ้นร้อยละ 29เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ร้อยละ 20 นอกจากนี้ยังมีความพึงพอใจต่อโครงการในภาพรวมถึงร้อยละ 80 ที่สำคัญคือเกษตรกรจำนวนหนึ่งเริ่มตั้งเป้าหมายการเงินหลายคนเริ่มทำบัญชีรายรับรายจ่ายและออมเงินทำอาชีพเสริมเพื่อลดหนี้และเพิ่มรายได้”
ดร.ณัฐพล อัษฎาธร กรรมการบริหาร กลุ่มน้ำตาลไทยรุ่งเรือง กล่าวว่า“ในฐานะผู้ผลิตน้ำตาลคุณภาพ พรีเมียมจากวัตถุดิบอ้อย บริษัทฯมุ่งสร้างความมั่นคงแก่เกษตรกรชาวไร่อ้อยผ่านแนวคิดการส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืนโดยเราได้คัดเลือกพนักงานจากเพชรบูรณ์ 19 คน และอุทัยธานี 10 คนเข้ารับการฝึกอบรมเป็นวิทยากรจากสถาบันคีนันแห่งเอเซียโดยมุ่งใช้ความสัมพันธ์ที่ดีของพนักงานกลุ่มนี้ซึ่งต้องทำงานใกล้ชิดกับเกษตรกรอยู่แล้วในการค่อยๆ สร้างความเข้าใจ ถ่ายทอดความรู้ ให้คำปรึกษาตลอดจนช่วยปรับพฤติกรรมด้านการบริหารการเงินในครัวเรือนและการทำธุรกิจไร่อ้อยอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เรายังได้นำโครงการช่วยเกษตรกรลดรายจ่ายเพิ่มผลผลิตและรายได้ที่บริษัทฯ ดำเนินการอยู่แล้วและตอบโจทย์เข้ามาเสริม คือการทำน้ำหมักชีวภาพ และการจัดการน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง ซึ่งเมื่อนำสิ่งต่างๆเหล่านี้มาผนวกกับความรู้ด้านการบริหารการเงินที่เกษตรกรได้รับก็น่าจะทำให้คุณภาพชีวิตของสตรีชาวไร่อ้อยมั่นคงและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น”นางสาวณัฐวรรณ ทองเกล็ด (แหม่ม) สตรีชาวไร่อ้อยรุ่นใหม่วัย 37ปีจากเพชรบูรณ์ที่เข้าร่วมโครงการฯ กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ทำเกษตรเชิงเดี่ยวและเมื่อมีปัญหาเข้ามาหรือไร่อ้อยเสียหาย ก็ไม่มีแผนหรือรายได้สำรองหลังเข้าร่วมโครงการฯก็ได้นำความรู้การบริหารการเงินมาใช้ด้วยการจดบันทึกต้นทุน รายรับ รายจ่ายทำให้มองเห็นภาพรวมการทำงานและการเงินของตัวเองได้มากยิ่งขึ้นรู้ว่ารายจ่ายส่วนไหนเยอะเกินความจำเป็น หรือไม่จำเป็น และปรับลดได้ถูกจุด
นอกจากนี้ ได้เริ่มต้นทำเกษตรผสมผสาน เช่น ปลูกมะเขือเทศราชินี ข้าวโพดเทียนมะนาว เพื่อเพิ่มรายได้ ลดความเสี่ยงจากการทำไร่อ้อยเพียงอย่างเดียวซึ่งสิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9หากเราลดความต้องการลง มองเห็นว่าตัวเองกำลังอยู่จุดไหน ทำอะไรปรับเปลี่ยนให้พอดี การใช้ชีวิตก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น”“โคคา-โคลามีแผนที่จะขยายโครงการไปสู่ซัพพลายเออร์น้ำตาลรายอื่นๆในระยะต่อไป โดยขณะนี้ ได้เริ่มพูดคุย ซึ่งจะต้องประเมินด้วยว่าพันธมิตรรายใหม่มองเห็น “คุณค่าร่วม” หรือ “Shared Value”จากโครงการมากน้อยเพียงใดเพราะการปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมนั้นต้องทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องและพันธมิตรก็ต้องเห็นคุณค่าจากผลลัพธ์ของโครงการ และพร้อมที่จะลงทุนลงแรง ด้วยกัน เราหวังว่าผลจากโครงการนำร่องซึ่งจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคม2560 นี้จะช่วยทำให้ทุกฝ่ายเห็นว่าการประสานความร่วมมือบนฐานของการสร้างคุณค่าร่วมกัน จะช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับภาคอุตสาหกรรมภาคเกษตรกรรม และภาคสังคมได้ในระยะยาว” นายนันทิวัต ธรรมหทัยผู้อำนวยการองค์กรสัมพันธ์และการสื่อสาร บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย)จำกัด กล่าวทิ้งท้าย