รถพลังงานไฟฟ้า กับ 5 สิ่งที่ควรรู้

Tesla model S
รถพลังงานไฟฟ้าเป็นรถที่กำลังจะเข้ามาแทนที่รถพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มีข้อดีซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไปก็คือ รักษาสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน มีต้นทุนค่าเดินทางต่อกม. ที่ต่ำกว่าการใช้น้ำมัน แต่ยังมีอีก 5 สิ่งที่เราควรรู้เกี่ยวกับรถพลังงานไฟฟ้าดังต่อไปนี้
1. แบตเตอรี่มีอายุใช้งานมากกว่า 8 ปี
สิ่งที่ผู้ใช้รถพลังงานไฟฟ้ามีความกังวลใจ มากที่สุดก็คืออายุการใช้งานแบตเตอรี่ กลัวว่าอายุการใช้งานแบตเตอรี่ว่าจะต้องเปลี่ยนทุก 2 ปีเหมือนกับแบตเตอรี่สตาร์ทรถยนต์ แต่ความเป็นจริงแล้ว รถพลังงานไฟฟ้า จะเลือกแบตเตอรี่แบบ ลิเธียม มีอายุใช้งานที่ยาวนานกว่า แบตเตอรี่ที่ใช้น้ำกรด หรือ แบตเตอรี่แบบเมทัล ไฮไดรด์ ที่นิยมใช้ในรถ ระบบไฮบริดจ์
บริษัทรถยนต์ส่วนใหญ่รับประกันแบตเตอรี่ประมาณ 6- 8 ปี หลังจากนั้นแบตเตอรี่จะเริ่มเสื่อมสภาพ แต่ไม่ได้หมายความว่าเสื่อมสภาพแล้วจะวิ่งไม่ได้ รถยังคงวิ่งได้ดีเพียงแต่ระยะทางจะค่อย ๆ ลดลง ในกรณีที่แบตเสื่อมต่ำกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ก่อนหมดระยะประกัน ศูนย์บริการจะทำการเปลี่ยนแบตชุดใหม่ให้ทันที และจากการใช้งานจริงของชาวอเมริกัน ที่ใช้งานมาแล้ว 6 ปี พบว่าแบตเตอรี่ก็ยังอยู่ในสภาพที่ดี บางคันวิ่งไปถึง 650,000 กม. ก็ยังใช้งานได้ดีอยู่โดยไม่ต้องเข้าศูนย์บริการ

2. ลุยน้ำได้เหมือนรถยนต์ทั่วไป
ไฟฟ้ากับน้ำมักจะไม่ค่อยถูกกันสักเท่าไหร่นัก แล้วรถพลังงานไฟฟ้าจะลุยน้ำได้หรือไม่ จากการทดสอบผู้ผลิต และการใช้งานจริงในต่างประเทศพิสูจน์แล้วว่า รถพลังงานไฟฟ้าสามารถใช้งานได้ในทุกสภาพอากาศ และทุกเส้นทางที่รถวิ่งได้ แม้จะมีน้ำท่วมขังที่ความสูงประมาณ 30 – 50 ซม.รถไฟฟ้ายังสามารถวิ่งผ่านได้อย่างไม่มีปัญหา แต่สิ่งที่เราควรคำนึงก็คือไม่ว่าจะเป็นรถพลังงานไฟฟ้าหรือรถยนต์พลังงานเชื้อเพลิง หากขับรถลุยในระดับที่สูงเกินไป ก็มีสิทธิ์เครื่องยนต์ดับได้เหมือนกันทั้งหมด
3. การบำรุงรักษาต่ำ
แม้ตัวรถจะมีราคาสูง แต่ก็แลกมาด้วยค่าบำรุงรักษาต่อระยะทางที่ต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจาก จำนวนชิ้นส่วนในการประกอบรถน้อยกว่า ชิ้นส่วนอะไหล่ที่ต้องเปลี่ยนจึงน้องลงตามจำนวน
อีกทั้งไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก 15,000 กม. รวมถึงระบบระบายความร้อนที่แทบจะไม่ต้องมีการบำรุงรักษา การเข้าศูนย์เช็คสภาพรถทุก 100,000 กิโลเมตร จึงเป็นเรื่องปรกติสำหรับรถพลังงานไฟฟ้า ที่ช่วยลดความยุ่งยากในการบำรุงรักษารถยนต์ได้มากเลยทีเดียว
4. แรงบิดมหาศาล
รถพลังงานไฟฟ้ามีข้อดีอย่างหนึ่งที่หลายคนมองข้ามคือเรื่องพละกำลังขับเคลื่อนที่ดีกว่ารถพลังงานเชื้อเพลิงในระดับเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแรงบิดและการควบคุมความเร็วด้วยระบบไฟฟ้าอย่างละเอียด รถพลังงานไฟฟ้าขนาด 110 กิโลวัตต์ ซึ่งเทียบได้กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร มีแรงบิดที่ช่วยในการออกตัวสูงถึง 320 นิวตันเมตร เทียบเท่าเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.5 ลิตร ทำให้ผู้ใช้รู้สึกถึงอัตราเร่งแซงทันใจทุกครั้งที่กดคันเร่ง การขับขี่สนุกและปลอดภัยมากขึ้น
5. ถอนคันเร่งแล้วจะชาร์จไฟกลับ ช่วยถนอมผ้าเบรก
ในช่วงเวลาเบรก ระบบจะตัดการจ่ายพลังงานไฟฟ้า และใช้แรงเฉื่อยของตัวรถขณะเคลื่อนที่ทำการปั่นกระแสไฟย้อนกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ ผู้ขับจะรู้สึกได้ถึงการหน่วงชะลอหลังจากถอนคันเร่ง เป็นผลจากชุดชาร์จไฟกลับซึ่งติดอยู่กับดุมล้อรถ ซึ่งข้อดีอีกอย่างคือช่วยชะลอความเร็วรถ และลดภาระการทำงานของผ้าเบรก
ผู้ใช้รถพลังงานไฟฟ้าในอเมริกามีอัตราการเปลี่ยนผ้าเบรกอยู่ที่ 150,000 – 250,000 กิโลเมตร หรือเทียบเวลาการใช้งานรถอยู่ที่ 7 – 8 ปีเลยทีเดียว ดังนั้นการขับในสภาพรถติดในตัวเมือง หรือการขับลงภูเขา ไม่ได้ทำให้สูญเสียพลังงานไฟฟ้ามากอย่างที่ติด แต่ยังช่วยชาร์จแบตเตอรี่ให้รถพลังงานไฟฟ้าของเราอีกด้วย
