คนยุคที่มีแต่ฉัน ฉัน ฉัน

สิบกว่าปีก่อนผมได้อ่านคำทำนายนิสัยของคนในแต่ละรุ่น และดูเหมือนว่า GEN ME จะเป็นรุ่นที่เห็นแก่ตัวที่สุด ไม่รู้จักขอโทษผู้อื่น ไม่รู้จักการมีน้ำใจ ไม่เคารพต่อความหลากหลายทางความคิดและวัฒนธรรม มองตัวเองเป็นพลเมืองโลก มากกว่าเป็นคนของประเทศใดประเทศหนึ่ง จนแทบจะหาข้อดีได้น้อยมาก แย่ที่สุด นับตั้งแต่ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
คนรุ่น GEN ME จากเดิมที่นักวิเคราะห์จำกัดนิยามนี้ไว้เฉพาะรุ่น GEN Y แต่ปัจจุบันเราได้เห็นแล้วว่าปัญหาความเห็นแก่ตัว ได้ลุกลามต่อเนื่องมาถึงคนรุ่น GEN Z (ผู้ที่เกิดปี พ.ศ. 2540 – 2552) และเป็นไปตามคำทำนายของนักวิเคราะห์ทั้งสิ้น
อยากย้ายประเทศ ศาสนายังจำเป็นอยู่ไหม กษัตริย์ต้องมีอยู่ไหม ทำไมต้องเสียสละที่นั่งให้เด็ก สตรี และผู้หญิงมีครรภ์ ทำไมฉันต้องยอมด้วยในเมื่อฉันไม่ชอบ ฉันไม่จำเป็นต้องอดทนกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ฉันไม่จำเป็นต้องให้เกียรติผู้อื่น แม้กระทั่งผู้ที่ตายไปแล้วฉันก็มีสิทธิ์วิจารณ์ได้ แต่ใครวิจารณ์ฉันคือละเมิดสิทธิ์ที่ฉันพึงมี ทุกอย่างกระจ่างชัดมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
ในเรื่องนิสัยการทำงาน GEN ME ถูกแบ่งออกเป็น 2 ระดับ
ระดับแรกคือลูกคนที่มีฐานะปานกลางถึงร่ำรวย กลุ่มนี้มีพ่อแม่คอยซัพพอร์ตด้านการเงิน งานไหนที่พวกเขาเห็นว่าเหนื่อย ได้เงินน้อย ทำงานแล้วเสียเวลา พวกเขาจะลาออกจากงานนั้น เพื่อหางานใหม่ที่ให้เงินเดือนสูงกว่าในทันที โดยที่ยังไม่ได้สมัครงานใหม่เสียด้วยซ้ำ เพราะพวกเขารู้ว่าเมื่อออกมาแล้วยังมีคนเลี้ยงดูเขาอยู่ ไม่มองเรื่องการซื้อบ้าน แต่มองเรื่องการเช่าอยู่เป็นสิ่งสำคัญ และทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินโดยไม่สนใจเรื่องความถูกต้องและวิธีการ ทำผิดกฎหมายเล็กน้อยเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ เพราะนักการเมือง ตำรวจยังโกงกินเป็นเรื่องปรกติ
ระดับที่สอง คือลูกคนที่มีฐานะปานกลางถึงยากจน กลุ่มนี้จะคล้ายกับกลุ่มแรกในเรื่องการย้ายงาน แต่พวกเขาจะมีความยับยั้งชั่งใจ คิดถึงอนาคตและภาระที่มีมากกว่า ต้องได้งานที่ดีแล้วเท่านั้นถึงจะลาออกมา ดิ้นรนเพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม อะไรที่ได้เงินพวกเขาทำหมดโดยไม่เลือกวิธีการเช่นกัน ในระดับนี้ผมมองว่าพวกเขาจะเป็น GEN ME ที่นิสัยดีกว่ากลุ่มแรกอยู่มาก แม้จะมีแนวคิดแปลกๆหลุดมาบ้างก็ตาม
ในมุมมองส่วนตัวผมเองคิดว่า ความเห็นแก่ตัวของ GEN ME จะไม่สร้างปัญหาให้กับสังคมในระยะยาว ด้วยเหตุผล 2 ประการคือ
1.โลกการทำงานจะสอนบทเรียนชีวิตให้แก่พวกเขา สิ่งแวดล้อมในที่ทำงาน การแข่งขันทางธุรกิจและการแข่งขันกับเพื่อนร่วมงาน การได้เจอผู้ใหญ่ในที่ทำงานที่จะช่วยสอนงาน ขัดเกลาความคิด ความอ่าน การได้เจอผู้คนมากหน้าหลายตาที่มีนิสัยแตกต่างกัน พวกเขาจึงไม่ได้เป็นผู้ที่แสดงความแล้งน้ำใจต่อผู้อื่นได้เพียงฝ่ายเดียว เพราะคนเจนเดียวกับเขาจะปฏิบัติกับพวกเขาแบบนี้เช่นเดียวกัน หลังจากนั้นพวกเขาจะเข้าใจโลกมากขึ้นรู้ว่าอะไรควรทำและไม่ควรทำ ฉลาดมากขึ้นเพียงแต่ช้าและรู้จักคิดช้ากว่าคนเจนอื่นเท่านั้นเอง
2.คนเจนนี้มีลูกน้อย ด้วยพวกเขาจะเป็นเจนที่ไม่ประสบความสำเร็จด้านความรักและครอบครัวมากที่สุด พวกเขามองความรักเป็นแค่การอยู่ร่วมกับอีกคน ถ้ารู้สึกไม่พอใจก็ลาออกมาได้เหมือนลาออกจากงาน ถ้ามีลูกก็แค่เลี้ยงคนเดียวจะเป็นอะไรไป และด้วยนิสัยชอบเที่ยวอยากท่องโลก ไม่อยากมีลูกเป็นภาระ ทำให้ GEN ME ส่วนใหญ่มีลูกน้อย และเมื่อถึงเวลาอยากมีลูกพวกเขาจะพบว่าอายุพวกเขาอาจล่วงเลยมาถึงหลักสี่ จะเข้าเขตรังสิต ปทุมธานี จนมีลูกยากไปแล้ว เรื่องการเผยแผ่แนวความคิดเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง การตั้งคำถามที่ดูเหมือนฉลาดแต่ไม่เคยหาคำตอบที่ถูกต้องก็จะลดลงตามลำดับ
ประกอบกับการเข้ามาแทนที่ด้วย GEN ALPHA ( เด็กที่เกิดปี พ.ศ.2553 – 2568) ซึ่งวิเคราะห์กันว่าจะเป็นเจนที่มีความฉลาดทางสติปัญญา อารมณ์ และทางสังคมมากที่สุด จะทำให้สังคมเริ่มกลับเข้าสู่ที่ทางที่ควรเป็น เพราะได้รับการเลี้ยงดูสั่งสอนจากคน GEN X ช่วงปลาย และ GEN Y (GEN ME) ที่มองความผิดพลาดเหล่านี้มาเป็นบทเรียน พร้อมวิธีการรับมือกับคน รุ่นที่ถูกตราหน้าว่าเห็นแก่ตัวที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2