เรื่องสั้น “เธอคนเดิม”

เรื่อง “โยโมทาโร่”
— “วิ่งมาตั้งนานแล้วยังไม่เห็นเพื่อนร่วมทางสักคันนึง ขนาดรถวิ่งสวนกลับลงมายังไม่มีเลย นี่เพิ่งทุ่มกว่าเองนะ” ชายหนุ่มคิดในใจ ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งขี่เข้าไปอยู่กลางป่า กลางเขา ลึกมากขึ้นเท่านั้น สายตาพลางมองเครื่องจีพีเอสนำทาง หน้าจอบอกว่ากว่าจะพ้นเขตป่าถึงที่พักริมชายแดนไทย ต้องขี่ไปอีกอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
— แต่การขี่รถในยามวิกาลเช่นนี้ มีสิ่งที่ต้องระวังอยู่ 4 อย่างคือ สัตว์ป่า, อุบัติเหตุหรือรถเสียกลางทาง, โจร และ ผี พอสิ้่นความคิดเรื่องผี ดวงตาก็เบิกกว้าง เหมือนคนที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านี่คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่เขาไม่อยากเจอ “ไม่น่ามัวแต่ถ่ายคลิปเที่ยวเล้ย…” เขาบ่นกับตัวเองเป็นรอบที่ 5 ตั้งแต่รู้ตัวว่าคำนวณเวลาเดินทางพลาดไป
— ชายหนุ่มเริ่มสวดมนต์ “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ เจ้าป่า เจ้าเขา ขอให้ลูกช้างขี่รถถึงที่พักอย่างปลอดภัยด้วยเถอะ” เขากล่าวซ้ำท่อนเดิมวนไปมาอยู่หลายรอบ
— ไม่นานนักเหมือนการสวดมนต์จะสัมฤทธิ์ผล แสงไฟสีเหลืองอ่อนส่องสว่างอยู่ปลายถนนข้างหน้า “เฮ้ย….เจอบ้านคนแล้ว…” เขาอุทานกับตัวเอง
— แต่พอขี่เข้าไปใกล้ๆ กลับพบว่า แสงไฟที่เห็นไม่ใช่แสงไฟจากบ้านเรือน แต่เป็นแสงไฟจากตะเกียงเจ้าพายุแขวนอยู่หน้าศาลารอรถโดยสารประจำทาง ข้างในศาลามีผู้หญิงรูปร่างผอมบาง ผมยาว ผิวขาวนวล ยามต้องแสงตะเกียง เธอแต่งตัวคล้ายผู้หญิงพม่า แต่ไม่ประแป้งที่แก้ม คงเป็นหญิงชาวบ้านไทยที่อาศัยอยู่แถวนี้ แต่เพียงแค่เวลาชั่วพริบตา ชายหนุ่มกับหญิงสาวก็สบตากันโดยไม่ได้ตั้งใจ และเธอก็ส่งยิ้่มให้
— “น่ารักแฮะ” เขาคิดในใจ ใครเล่าจะไปคิดว่ากลางป่ากลางเขาตอนกลางคืนจะเจอผู้หญิงส่งยิ้่มให้ เขาเริ่มใจชื้นขึ้นกว่าเดิม เพราะตั้งแต่ขี่เข้าป่ามา เธอเป็นคนแรกที่เขาเจอ
— บิ๊กไบค์สีแดงยังพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เครื่องนำทางยังคงบอกให้วิ่งตรงไปข้างหน้า ไม่นานนักเขาก็เห็นแสงไฟอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดูคุ้นตาเหลือเกิน ตะเกียงเจ้าพายุ ศาลารอรถโดยสารประจำทาง และหญิงสาวซึ่งดูเหมือนคนที่เพิ่งส่งยิ้มให้เขาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ทั้งคู่สบตากันแล้วเธอก็ส่งยิ้มให้เขา
— “ใช่คนเดียวกันหรือเปล่าวะ” “คงไม่ใช่มั้ง คงเป็นแฟชั่นชาวบ้านแถวนี้ เลยแต่งตัวเหมือนๆ กันหมด” เขาถามเองตอบเองในใจเพื่อความสบายใจ
— “แต่งตัวอาจจะเหมือนกันได้ แต่หน้าตาเป็นเธอคนเดิมเลยนะเว้ย” เสียงจากสมองส่วนจิตใต้สำนึกเปล่งออกมา
— บรรยากาศรอบตัวเริ่มหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ ความสงสัยยังคงวนเวียนอยู่ในหัว เขายังคงขี่ต่อไปเรื่อยๆ ตามหน้าจอจีพีเอส และพยายามจะไม่คิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับตัว มันดูเหมือนจริงมากเกินไป
— แต่แล้วไม่กี่นาทีต่อมาภาพเดิมก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หญิงสาวมองเขาด้วยสีหน้านิ่งสงบ ปราศจากรอยยิ้มเหมือนครั้งก่อน หัวใจชายหนุ่มต่างถิ่นเต้นถี่เร็วราวกับเพิ่งวิ่งสปรินต์ 100 เมตร
— “โดนแล้วไงล่ะ ผีแท้แน่นอน โบราณว่าเห็นผีอย่ามองอย่าทัก” ชายหนุ่มพยายามมองไปข้างหน้าไม่สบตากับเธอคนนั้น
— “แต่ก่อนหน้านี้มึงมอง มึงเผลอยิ้ม ให้เธอเต็มๆ เลยนะ” เสียงจากจิตใจสำนึกโผล่มาบอกกับชายหนุ่มอีกรอบ
— “แหมขี่รถมาตั้งนาน มึงเงียบเหมือนไม่มีตัวตน แต่พอถึงเวลาคับขันเสือกโผล่มาย้ำคิดย้ำทำกูจังเลยนะ อี…สมอง”
— พลันมือขวาบิดคันเร่งให้เร็วขึ้น ชายหนุ่มหวังเผ่นให้พ้นออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด แต่ผลที่ได้กลับเป็นเสียงเครื่องยนต์กำลังจะดับ แล้วเครื่องยนต์ก็ดับลงในที่สุด “เอาแล้วไงล่ะ จังหวะนรกชัดๆ มาดับอะไรตอนนี้วะเนี่ย”
— บิ๊กไบค์จอดเลยจากศาลาไม่เกิน 100 เมตร เขารีบกดปุ่มสตาร์ทอีกครั้ง แต่ไม่ติด เขาหันหลังกลับไปมองเห็น หญิงสาวกำลังเดินมาหาเขา กดสตาร์ทไม่ติดก็ต้องใช้ที่สตารท์เท้า ขาขวาเขี่ยที่สตาร์ทเท้าลงมา สับสตาร์ทลงไปสองครั้งก็ยังไม่ติด
— เขาหันซ้ายกลับไปมองผู้หญิงอีกครั้ง แต่เธอหายไปแล้ว… เธอหายไปไหน!
— “พี่เปนอะรายรึเป่าค่ะ” ตอนนี้หญิงสาวยืนอยู่ทางขวามือของเขาแล้ว
—- “เฮ้ย….” ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว จิตใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม สีหน้าซีดเผือด สองแขนยกพนมมือไหว้หญิงสาวด้วยความหวาดกลัว ขาสั่นอ่อนแรงจนแทบประคองรถไม่อยู่
— “ปล่อยผมไปเถอะครับ อย่าทำอะไรผมเลยผมแค่จะมาเที่ยว” เขาบอกหญิงสาวด้วยเสียงสั่นเครือ น้ำตาไหลอาบสองแก้ม เขาคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงเรื่องที่ผ่านมา ว่ากันว่าเวลาคนเราใกล้ตายสมองจะฉายภาพเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดในชั่วพริบตา “ผมยังไม่อยากตาย” ชายหนุ่มร่ำไห้ร้องขอชีวิต
— “ป่อยอะไร หนูเหนพี่ ขี่วนลอบเขา 3 ลอบแล้วนา พี่เป็นอะรายรึเป่า” หญิงสาวตอบเขาด้วยสำเนียงคนท้องถิ่น….